กำเนิดเสียงดนตรี
กำเนิดเสียงดนตรี
อ่านเจอบทความนี้ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์เลย Copy มาไว้ใน blog นี้ เขียนโดย
ไพศาล อินทวงศ์
คำถามที่ถามว่า เสียงดนตรีทั้ง 7 เสียง คือ โด เร มี ฟา ซอล ลา ที เกิดขึ้นได้อย่างไร และมีที่มา เช่นไร คงต้องขอเล่าเป็นพื้นฐานดังนี้ว่า เรื่องราวของเสียงนี้ เป็นเรื่องของศิลปศาสตร์ ที่จำต้องทำความเข้าใจโดยกำหนดให้หูของคนเราเป็นเครื่องวัด เมื่อให้หูเป็นเครื่องกำหนดแล้ว ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นแห่งดนตรีที่ให้เสียงทั้งหลายที่เข้ามากระทบนั้น ประสานและเปรียบเทียบความแตกต่างของระยะถี่ห่างของเสียง ทำให้หูของคนเราสามารถฟังเสียงต่างๆเป็นทำนอง (MELODY) และลีลา (MOVEMENT) ได้ เนื่องจากเสียงดนตรีในสมัยโบราณนั้น จะเป็นทำนองเพลงสั้นๆและมีระดับเสียงสูงต่ำต่างกันน้อยมาก ฟังดูคล้ายๆกับว่าระดับเสียงดนตรีมีระดับคล้ายๆกันตลอด ยกตัวอย่างเช่น ทำนองการสวดหรือการขับลำนำ เราจะได้ยินเสียงทำนองและลีลาเยือกเย็นคล้ายๆกัน ดังนี้เป็นต้น
เนื่องจากมนุษย์มีความใกล้ชิดและผูกพันกับสัตว์ต่างๆ ทั้งที่เป็นสัตว์จตุบาท (สี่เท้า) และสัตว์ทวิบาท
(สองเท้า) ในคัมภีร์วชิรสารัตถสังคหะ ซึ่งเป็นคัมภีร์ใบลาน จารึกไว้เป็นภาษาขอม กำหนดที่มาของเสียงดนตรีให้มีระดับสูงต่ำเป็น 7 เสียง และมีตัวแทนจากสัตว์ 7 ชนิดจากเสียงต่ำไปหาเสียงสูงดังนี้ คือ นกยูง โค แพะ นกกระเรียน นกกาเหว่า ม้า และ ช้าง ดังนี้
เสียงร้องของนกยูง ถือเป็นเสียงร้องที่ต่ำสุด เกิดจากเสียงหกเสียงมารวมกันเป็นเสียงเดียว เป็นเสียงสุดท้ายคล้ายๆกับคนพูดติดอ่าง กว่าจะพูดออกมาได้คำหนึ่งก็ติดตะกุกตะกักอยู่หลายครั้ง ดังตัวอย่างเสียงร้องของนำยูงที่อยู่ในเนื้อเพลงเขมรไทรโยค เที่ยวกลับท่อนสอง ว่าดังนี้ “….เสียงนกยูงทอง มันร้องโด่งดัง หูเราฟังมันดังกระโต้งห่ง มันดัง ก้อก (1) ก้อก (2) ก้อก (3) ก้อก (4) กระ(5)โต้ง(6) ห่ง จะเห็นว่าเสียง ห่งเป็นเสียงสุดท้ายที่เกิดจากเสียงหกเสียง กว่าจะร้องออกมาได้ ก็ต้องก้อกๆเสียก่อน เสียงห่งนี้ กำหนดให้เป็นเสียงระดับต่ำที่สุด ในบรรดาเสียงทั้ง 7 เสียงตรงกับ เสียง โด เหตุที่นำเอาเสียงร้องของนกยูงมาเป็นหลัก ก็เพราะว่า นกยูงเป็นนกขนาดใหญ่ มีขนงดงามเป็นสีเหลื่อม ขนหางเป็นแวว ในศาสนาพราหมณ์นับถือนกยูงว่าเป็นพาหนะทรงของพระสรัสวดี เจ้าแม่แห่งการดนตรีและขับร้อง จึงกำหนดให้เสียงร้องของนกยูงเป็นเสียงแรก และนับเป็นเสียงที่สำคัญที่สุด ในบรรดาเสียงดนตรีทั้ง 7 เสียง คือเสียง โด
เสียงที่สอง ได้กำหนดให้เสียงร้องของโค เป็นหลักประจำเสียงซึ่งตรงกับเสียง เร ด้วยเหตุผลที่ว่า โคเป็นสัตว์ที่มีความใกล้ชิดกับมนุษย์มาแต่บรรพกาล นอกจากใช้แรงงานแล้ว น้ำนมโคยังเป็นอาหารที่จำเป็นสำหรับมนุษย์อีกด้วย ในทางพระพุทธศาสนาได้กล่าวไว้ในมงคลสูตร ถึงเรื่องโคนันทวิศาล ส่วนทางศาสนาพราหมณ์นั้น ได้เทิดทูนโคและมีความเชื่อว่า โคเป็นสัตว์ศักดิ์สิทธิ์ใครจะฆ่าไม่ได้ และยังถือว่าโคเป็นพาหนะประจำพระองค์ของพระอิศวรอีกด้วย ซึ่งถือกันว่า โคของพระอิศวรนี้นับเป็นเทวดาองค์หนึ่งที่ชื่อว่า “พระนนทิ”เมื่อพระอิศวรจะเสด็จไปที่ใด พระนนทิจะแปลงกายเป็นโคเผือกให้พระอิศวรทรงไป พระนนทินี้เป็นใหญ่สุดในเทพบริวารของพระอิศวร ในพิธีพราหมณ์นั้น ได้กำหนดให้ใช้มูลโคเจิมหน้าผากเพื่อเป็นสิริมงคล จะเห็นว่าในพิธีใหว้ครูโขน ละคอนเมื่อครั้งรัชกาลที่ 4 ในหมายรับสั่งให้กรมนานำมูลโคมากระทงหนึ่ง สำหรับประกอบพิธีนี้ด้วย ด้วยเหตุผลดังข้างต้นจึงกำหนดให้เสียงร้องของวัวตัวผู้ เป็นเสียงดนตรีเสียงที่สอง คือเสียง เร
เสียงที่สามคือเสียงมี โดยมีเสียงร้องของแพะเป็นสัญญลักษณ์ประจำเสียง ในสมัยพุทธกาลแคว้นคันธาระ เป็นแคว้นใหญ่ในชมพูทวีป มีเมืองหลวงชื่อ ตักกสิลาซึ่งเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงในฐานะนครแห่งวิทยาการพวกกษัตริย์ พราหมณ์ จะส่งบุตรหลานของตนมาศึกษาเล่าเรียนที่เมืองตักกะสิลาแห่งนี้ เช่น องคุลิมาน หมอชีวกโกมารภัฎ พระเจ้าพิมพิสาร ก็สำเร็จการศึกษาจากเมืองตักกะสิลาแห่งนี้ เนื่องจากสำเนียงพูดของคนในแคว้นนี้ มีเสียงเล็กแหลมคล้ายเสียงของแพะ จึงได้นำแบบอย่างสำเนียงพูดที่แหบและเล็กแหลมคล้ายเสียงแพะนี้ กำหนดเป็นเสียงดนตรีเสียงที่สามคือ เสียงมี ด้วยพิจารณาเห็นว่า นมแพะเป็นอาหารที่เป็นประโยชน์เช่นเดียวกับนมโค บุคคลที่อยู่ในวรรณะแพศย์ได้ใช้หนังแพะเป็นเครื่องนุ่งห่ม และแสดงวรรณะของตนนั่นเอง
เสียงที่สี่คือเสียงฟา กำหนดให้เป็นเสียงร้องของนกกระเรียน และเป็นเสียงกลางระหว่างเสียงทั้ง 7 เสียง โดยถือว่า นกกระเรียนเป็นนกมงคล เช่นชนชาติจีนและชนชาติญี่ปุ่น จะเลี้ยงนกกระเรียนไว้ในสวน แม้ว่าหากไม่สามารถหานกกระเรียนมาเลี้ยงได้ ก็จะหล่อรูปนกกระเรียนไว้ในบ้านของตนอีกด้วย นกกระเรียนนั้น นานๆจึงจะร้องสักครั้งไม่ร้องพร่ำเพรื่อเหมือนนกทั่วๆไป ซึ่งเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ได้เขียนเป็นโคลงกล่าวถึงเสียงร้องของนกกระเรียนไว้ดังนี้
“ นกกระเรียนเวียนว่อนน้ำ เล็งแล
ลงย่องร้อง แกร๋ แกร๋ แจ่มจ้า “
จึงได้กำหนดให้เสียงร้องของนกกระเรียนเป็นเสียง ฟา
เสียงที่ห้าคือเสียงซอล กำหนดให้เป็นเสียงร้องของนกกาเหว่า โดยเหตุที่ถือว่า นกกาเหว่านั้นได้ชื่อว่ามีเสียงที่ไพเราะ มีความถี่ของเสียงคงที่สม่ำเสมอ ไม่สูงไม่ต่ำ ไม่ว่าจะอยู่ในระยะใกล้หรือระยะไกล ผิดกับนกชนิดอื่นๆ ในบทเห่เรือของเจ้าฟ้าธรรมาธิเบศร์ได้กล่าวถึงเสียงร้องของนกกาเหว่า (ดุเหว่า) ไว้ดังนี้
“ ดุเหว่าเจ้าจับร้อง สนั่นก้องซ้องเสียงหวาน
ไพเราะเพราะกังวาล ปานเสียงน้องร้องสั่งชาย “
ด้วยเหตุที่เสียงร้องของนกกาเหว่ามีความไพเราะมาก จึงได้กำหนดให้เสียงที่ห้า คือเสียงซอล เป็นเสียงร้องของนกกาเหว่า ดังกล่าวแล้ว
เสียงที่หกคือเสียงลา กำหนดให้เป็นเสียงร้องของม้า เนื่องจากเสียงลานี้ เป็นเสียงที่ขึ้นนาสิก อยู่ในระดับเสียงที่ค่อนข้างสูง เหมือนเสียงม้าร้อง เหตุที่กำหนดเอาเสียงม้าร้องก็เพราะว่า นับตั้งแต่โบราณมามนุษย์เราคุ้นเคยอยู่กับม้าเป็นอันมาก ในศาสนาพารหมณ์ ฮินดู หรือแม้แต่ในพุทธประวัติเมื่อเจ้าชาย
สิทธัตถะเสด็จออกบวช ก็ทรงม้าที่ชื่อว่า กัณฐกอัศวราช ออกจากเมืองและเป็นม้าสหชาติของพระองค์อีกด้วย จึงได้กำหนดให้เสียงร้องของม้าเป็นเสียงที่หก คือเสียงลา
เสียงที่เจ็ดคือเสียงที กำหนดให้เป็นเสียงร้องของช้าง ซี่งนับเป็นเสียงที่สูงที่สุด เสียงที่ออกมาจะต้องเปล่งออกให้เต็มเสียง เนื่องจากช้างเป็นสัตว์ที่ทำคุณประโยชน์อย่างมากมายมหาศาล ทั้งการศึกและการเกษตร และยังเป็นสัญญลักษณ์ของเทพเจ้าแห่งศิลปทั้งหลายคือ พระคเณศที่มีเศียรเป็นช้าง ในคัมภีร์มงคลที่กล่าวถึงพระโพธิสัตว์ได้เสวยชาติเป็นช้างเผือก ด้วยเหตุผลดังได้กล่าวมานี้ จึงกำหนดให้เสียงร้องของช้างเป็นเสียงที่ 7 เสียงดนตรีเสียงสุดท้ายคือเสียง ที
การกำเนิดเสียงดนตรีทั้ง 7 เสียงนี้ เสียงของดนตรีไทย และเสียงของดนตรีสากล กำหนดให้มี 7 เสียงเท่ากัน แต่ระดับการวางเสียงผิดกันมาก เสียงของดนตรีไทยนั้น เราวางเสียงไว้ 7 เสียงเท่ากันหมดไม่มีครึ่งเสียง ส่วนของดนตรีสากล ใน 7 เสียง จะมีเสียงเต็มอยู่ 5 เสียง และเสียงครึ่งอยู่ 2 เสียง คือ
ระหว่างเสียงมีกับเสียงฟา และระหว่างเสียงทีกับเสียงทีกับเสียงโด ดังนั้น การเอาดนตรีฝรั่งมาเล่นปนกับ
ดนตรีไทย จึงไม่ถูกต้องนัก เพราะจะทำให้เสียงเพี้ยนกันอยู่ แม้ว่าตอนต้นและตอนปลายของมาตราเสียงจะเท่ากันก็ตาม แต่ระดับเสียงภายในมาตราทั้งสองนี้ ไม่มีวันจะเท่ากันได้เลย
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น