การเรียนการสอนแบบบูรณาการผ่านเพลงประจำชาติอาเซียน

เอกสารประกอบโครงการการอบรมเชิงปฏิบัติการโครงการ รักสถาบัน รักสระบุรี รักพื้นที่ รักประชาคม โครงการสระบุรีเข้มแข็ง จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

                                                                                                      อาจารย์ ดร.วิชฏาลัมพก์ เหล่าวานิช

มีนักเรียนคนหนึ่งชอบเรียนดนตรีไทยตั้งแต่เด็กๆ แต่น่าเสียดายที่เขาเรียนวิชาอื่นๆ ไม่ค่อยเก่งนัก เมื่อเข้าเรียนมัธยมศึกษาตอนปลายเขาจึงเลือกเรียนสายศิลป์คำนวณตามเพื่อนๆ ด้วยความเข้าใจว่าการเรียนสายศิลป์น่าจะต้องเกี่ยวกับกับศิลปะ ดนตรีมากกว่าที่จะเลือกเรียนสายวิทยาศาสตร์ เมื่อได้เข้ามาเรียนแล้วนักเรียนคนนี้สอบตกวิชาคณิตศาสตร์ และภาษาอังกฤษเกือบทุกภาคการศึกษา แต่วิชาอื่นๆ ก็ยังพอเอาตัวรอดไปได้ ในขณะที่เรียนเขาก็มีความสงสัยอยู่ตลอดว่าเรียนคณิตศาสตร์แบบยากๆ ไปทำไม มันคืออะไร คิดออกมาแล้วเอาไปใช้ประโยชน์อะไรได้ เรียนภาษาอังกฤษไปทำไมในเมื่อเป็นนักดนตรีไทย ไม่เห็นมีความจำเป็นต้องใช้ภาษาอังกฤษในตอนนั้น ใช่แล้วครับ!! นักเรียนคนนั้นคือ ผู้เขียนเอง

เมื่อกลับมานั่งทบทวนตัวเองในปัจจุบัน ว่าทำไมถึงสอบตกในช่วงเวลานั้น ผู้เขียนพบความจริงข้อหนึ่งว่า ผู้เขียนไม่เห็นว่าวิชาต่างๆ เหล่านั้นมีความสอดคล้องหรือเชื่อมโยงกับชีวิตของผู้เขียนเท่าไรนัก ผู้เขียนจึงไม่เคยสนใจ ไม่ตั้งใจเรียน แต่เมื่อเข้าเรียนในระดับอุดมศึกษา ผู้เขียนเริ่มค้นพบตัวเองมากขึ้น เห็นความเชื่อมโยงของศาสตร์ต่างๆ และมองเห็นความสำคัญของวิชาบางวิชาที่ไม่เคยสนใจเรียนเลยตั้งแต่เด็กๆ และก็ไม่น่าเชื่อว่าประเด็นการเห็นความเชื่อมโยงของศาสตร์ต่างๆ นั้นจะเป็นสิ่งที่ผู้เขียนคิดว่ามีความสำคัญเป็นอย่างมากในการดำเนินชีวิตของผู้เขียน จนเรียกได้ว่าหากสามารถเข้าใจความเชื่อมโยงของสรรพสิ่งต่างๆ เหล่านั้นได้จะทำให้ชีวิตเปลี่ยนได้เลยทีเดียว

          จริงอยู่ที่ความล้มเหลวในการเรียนระดับมัธยมของผู้เขียนเกิดขึ้นจากความไม่ใส่ใจในเนื้อหาของผู้เขียนเอง แต่เมื่อพิจารณาในอีกมิติหนึ่งจะพบว่า ความคิดดังกล่าวอาจมีสาเหตุหนึ่งมาจากการที่ระบบการศึกษามุ่งเน้นไปที่เทคนิควิธีการของวิชาเฉพาะสาขามากเกินไป และขาดการเชื่อมโยงให้ผู้เรียนเห็นถึงความเกี่ยวข้องของวิชาเหล่านั้นกับชีวิตจริง (Relan & Kimpston, 1991) หรือความเกี่ยวข้องกับวิชาอื่นๆ ซึ่งทั้งๆ ที่ความเป็นจริง ปรัชญาหรือแก่นแท้ของเนื้อหาวิชาต่างๆ เหล่านั้นย่อมมีความเกี่ยวข้องสัมพันธ์กันไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแต่ระบบการศึกษาไม่สามารถสะท้อนให้ผู้เรียนเห็นแก่นแท้ครูคุณค่าดังกล่าวได้ในช่วงเวลาที่ผู้เรียนอยู่ในระบบ

          ดังนั้นจึงมีความพยายามของนักการศึกษาในการคิดรูปแบบการสอนที่มีการผสมผสานสาระตั้งแต่สองกลุ่มสาระการเรียนรู้ หรือสองวิชาขึ้นไป หรือกลุ่มสาระวิชาเดียวกัน โดยจัดเป็นหน่วยการเรียนภายใต้หัวเรื่อง (Theme) อย่างสมดุล และเชื่อมโยงกับชีวิตจริง ซึ่งแสดงให้เห็นความเกี่ยวข้องโดยใช้เครือข่ายความคิด (web)  (พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และ พเยาว์ ยินดีสุข, 2557) เพื่อให้ผู้เรียนได้เห็นความเชื่อมโยงความรู้ จากหัวข้อ หรือมโนทัศน์ที่มีความสำคัญและมีความหมายต่อผู้เรียน ซึ่งวิธีการนี้เรียกกว่า การสอนแบบบูรณการณ์ที่เราๆ ท่านๆ เคยได้ยินได้ฟังมาก่อน

การเรียนการสอนแบบบูรณาการได้รับการกล่าวถึงในแวดวงการศึกษาทั่วโลกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้มีงานวิจัยจำนวนมากที่ศึกษาในหัวข้อที่เกี่ยวข้องกับการเรียนการสอนแบบบูรณาการ  ทั้งการบูรณาการในกลุ่มสาระการเรียนรู้ และการบูรณาการข้ามกลุ่มสาระการเรียนรู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในระบบการศึกษาของประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า มีการส่งเสริมการเรียนการสอน และการวิจัย ที่เน้นการบูรณาการข้ามสาขาวิชามาแล้วหลายทศวรรษ  (Lonning, 1998) และปัจจุบันองค์ความรู้ด้านการบูรณการยังคงพัฒนาไปในแวดวงวิชาการอย่างต่อเนื่อง

ทำไมต้องบูรณาการ
เมื่อหลายอาทิตย์ก่อนผู้เขียนได้มีโอกาสเข้าฟังบรรยายเกี่ยวกับการเรียนการสอนแบบบูรณาการ หลังจากจบการบรรยายแล้ว ก็ได้มีผู้ร่วมฟังบรรยายแสดงความคิดในเชิงไม่เห็นด้วยกับการเรียนการสอนแบบบูรณาการ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้เรียนระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย หรือระดับอุดมศึกษา ซึ่งต้องเน้นไปที่ตัวเนื้อหาสาระของวิชามากกว่า ซึ่งข้อโต้แย้งดังกล่าวทำให้ผู้เขียนอยากชวนคิดว่าหากเป็นเช่นนั้นแล้ว ทำไมจึงต้องมีการบูรณาการเกิดขึ้น
สำหรับเหตุผลที่ต้องจัดทำหลักสูตรบูรณาการและการจัดการเรียนการสอนที่บูรณาการนั้นมีความหลากหลายโดย พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และ พเยาว์ ยินดีสุข (2557)  ได้ให้เหตุผลของการจัดทำหลักสูตรบูรณาการอย่างน่าสนใจว่า “ชีวิตจริงของผู้เรียนนั้นมีความเกี่ยวข้องกับศาสตร์หลากหลาย ไม่ใช่กลุ่มสาระการเรียนรู้โดยเฉพาะ จึงต้องจัดการเรียนการสอนให้ตรงสภาพจริง เพื่อให้สามารถถ่ายโอนความรู้ไปใช้ได้จริง” ซึ่งหากพิจารณาวิธีการเรียนรู้ของผู้เรียนจะพบว่า ผู้เรียนมักจะแยกความรู้ออกเป็นส่วนๆ ตามรายวิชา ภาคการศึกษา อาจารย์หรือสาขาวิชาจึงไม่อาจทำให้นักศึกษาตระหนักว่าความรู้จากรายวิชาที่เรียนมาแล้วมีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์การเรียนรู้ใหม่อย่างไร (Ambrose, Bridges, DiPietro, Lovett, & Norman, 2010, p. 62)
ประเด็นที่ครูควรคำนึงถึงมากที่สุดประการหนึ่งคือ นักเรียนที่มาเรียนในรายวิชาของเรา ไม่ใช่กระดาษที่ว่างเปล่า แต่มาพร้อมกับความรู้ที่ได้จากวิชาอื่นๆ และจากชีวิตประจำวัน ความรู้เหล่านี้ประกอบไปด้วย ข้อเท็จจริง มโนทัศน์ ตัวแบบจำลอง การรับรู้ ความเชื่อ ค่านิยม และทัศนคติต่างๆ ควบรวมกันอยู่ เมื่อนักเรียนนำความรู้เดิมมาใช้ในการเรียนรายวิชาของเรา ความรู้เดิมนั้นก็ส่งอิทธิพลต่อวิธีที่นักเรียนกลั่นกรองและตีความข้อมูลใหม่ที่ได้รับ   โดยนักเรียนจะเชื่อมโยงสิ่งที่ตนเรียนรู้เข้ากับสิ่งที่ตนรู้อยู่แล้ว นั่นคือ นักเรียนตีความทั้งข้อมูลที่ได้รับและแม้กระทั่งการรับรู้ทางความรู้สึก ผ่านความรู้ ความเชื่อ และสมมุติฐานซึ่งตนมีอยู่  (Ambrose, et al., 2010)
ดังนั้นจึงมีนักการศึกษาจำนวนหนึ่งพยายามที่จะออกแบบการสอนให้ผู้เรียนสามารถเชื่อมโยงความรู้ใหม่เข้ากับความรู้เดิมผ่านการเรียนการสอนให้ตรงกับสภาพชีวิตจริงเพื่อที่จะเรียนรู้ โดยหากผู้สอนสามารถจัดกระบวนการเรียนรู้ที่ถูกออกแบบมาเป็นการเฉพาะ เพื่อกระตุ้นความจำของนักเรียน สามารถช่วยให้นักเรียนนำความรู้เดิมมาใช้ในการบูรณาการ และจะจำข้อมูลใหม่ได้
          นอกจากนี้การหลักสูตรบูรณาการยังเป็นเป็นการขจัดความซับซ้อนของเนื้อหาในต่างศาสตร์ การจัดเนื้อหามาผสมผสานจึงเป็นการลดความซับซ้อน โดยที่จัดสอนในศาสตร์ หรือวิชาใดวิชาหนึ่ง จึงทำให้ลดเวลาสอนลงไปด้วย ทำให้เรียนรู้อย่างลึกซึ้งไม่ผิวเผิน เพราะได้เรียนรู้เนื้อหาที่สัมพันธ์กัน จึงเน้นการเรียนรู้จริง เรียนรู้อย่างมีความหมาย สามารถนำความรู้ไปใช้ได้ ประยุกต์ความรู้ได้ หรือเกิดการถ่ายโยงความรู้
          กล่าวโดยสรุปคือ การบูรณาการสามารถช่วยให้ผู้เรียน เชื่อมโยงความรู้ระหว่างวิชา ระหว่างศาสตร์เชื่อมโยงความรู้กับชีวิตจริง สร้างการเรียนรู้อย่างมีความหมาย เน้นการประยุกต์ให้ความรู้ การค้นคว้าหาความรู้ และค้นพบความรู้ ความถนัด และความสนใจ (อรรถพล อนันตวรสกุล, 2557)

จากภาพข้างต้น ผู้เขียนคิดว่าเป็นภาพที่สามารถสื่อถึงความสำคัญและความจำเป็นในการจัดให้มีการเรียนการสอนแบบบูรณาการได้เป็นอย่างดี ซึ่งการการบูรณาการนั้นจะทำให้ผู้เรียนเห็นถึงภาพรวม และความเชื่อมโยงของสิ่งที่ได้เรียนรู้ นอกจากนี้ยังสามารถสะท้อนให้เห็นได้ว่ารูปวาด หรืองานทางศิลปะนั้นมีส่วนช่วยในการสื่อสารให้สามารถเข้าใจมโนทัศน์บางอย่างได้เป็นอย่างดีเช่นเดียวกัน

การสอนแบบบูรณาการโดยใช้ศิลปะและดนตรี

ดังที่ได้กล่าวไปแล้วในตอนต้นว่า การเรียนการสอนแบบบูรณาการในวิชาต่างๆ กำลังเป็นสิ่งที่ได้รับความสนใจในวงการศึกษาเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ (Lonning, 1998; Overland, 2013)  และวิชาศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ ก็ได้รับความสนใจการบูรณาการร่วมกับวิชาอื่นๆ เพิ่มมากขึ้นเช่นเดียวกัน โดยในปี 2011 คณะที่ปรึกษาด้านศิลปะศาสตร์ และมนุษยศาสตร์ของประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา(President’s Council on the Arts and Humanities) ได้มีการระบุไว้ในรายงานว่า การสอนแบบบูรณาการวิชาทางศิลปะนั้น ควรได้รับการส่งเสริม และให้งบประมาณสนับสนุนอย่างจริงจังในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน การวิจัย และ กระบวนการพัฒนาวิชาชีพ (Overland, 2013) ซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้การบูรณาการศิลปะเริ่มมีการตื่นตัวอย่างจริงจังในแวดวงการศึกษา

อย่างไรก็ตามการนำองค์ประกอบของศิลปะมาสู่เนื้อหาวิชาหลักหรือวิชาแกนนั้น มีเหตุผลหลากหลาย โดยแนวคิดที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในวงการวิชาการคือ การค้นพบว่าวิชาดนตรีเป็นหนึ่งในความฉลาดของมนุษย์ ตามทฤษฎีพหุปัญญา (Multiple intelligences) ของ โฮเวิร์ด การ์ดเนอร์ (Howard Earl Gardner) นอกจากนี้วิชาศิลปะและดนตรี ยังบทบาทที่เกี่ยวข้องกับ ภาษา การเคลื่อนไหวร่างกาย (Gardner, 2006) อีกทั้งวิชาดนตรียังเป็นการกระตุ้นให้นักเรียนให้พัฒนาวิธีในการทำงาน (Overland, 2013)

มีการวิจัยหลายชิ้นได้ศึกษาและทดลองเกี่ยวกับการบูรณาการวิชาศิลปะ ดนตรี และนาฏศิลป์ในหลักสูตร อาทิเช่น ในประเทศสหรัฐอเมริกาได้มีการทำวิจัยโครงการหนึ่งชื่อว่า A+ Model ในรัฐแคลิฟอร์เนียเหนือ วิจัยโดยสถาบัน Kenan Institute for Arts ทำการวิจัยกับโรงเรียนจำนวน 25 โรงเรียนใช้ระยะเวลา 18 สัปดาห์ 

          โมเดลดังกล่าวใช้ทฤษฎีพหุปัญญาของการ์ดเนอร์เป็นหลักคิด ร่วมกับการใช้ศิลปะเป็นบทบาทหลักในการจัดการเรียนรู้ โดยแต่ละโรงเรียนจะมีผู้เชี่ยวชาญทาง ศิลปะ ดนตรี นาฏศิลป์ และการละคร เข้าไปเป็นอาจารย์ประจำในโรงเรียนและทำงานร่วมกับอาจารย์สอนวิชาต่างๆ ในการบูรณาการสอน โดยครูในโรงเรียนจะได้รับการพัฒนา อมรม สัมมนา มีการสร้างเครือข่ายและแบ่งบันความรู้กันอย่างต่อเนื่อง

          ผลการวิจัยพบว่า ผลการเรียนของนักเรียนดีขึ้นเทียบเท่ากับมาตรฐานของประเทศ และไม่มีโรงเรียนใดที่มีผลการประเมินที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย นอกจากนี้ครูที่ร่วมโครงการดังกล่าวได้รายงานว่า การเรียนการสอนในห้องเรียนมีความสนุกสนานมากในนักเรียนทุกระดับชั้น มีอัตราการเข้าเรียนเพิ่มมากขึ้น และนักเรียนมีความเชื่อมั่นในตนเองเพิ่มขึ้น (Goldberg & Scott-kassner, 2002, p. 1058)

นอกจากบทบาทของดนตรีที่มีต่อพัฒนาการต่างๆ ด้านสมอง และการสอนแบบบูรณาการในระบบโรงเรียนแล้ว ดนตรียังมีบทบาทต่อสังคมและชีวิตของมนุษย์ในหลายๆ ด้าน อาทิเช่น (1) การใช้ดนตรีแสดงออกทางอารมณ์ ความรู้สึก (2) การเข้าถึงความซาบซึ้งทางสุนทรีย์ด้วยดนตรี (3) การใช้ดนตรีเพื่อความบันเทิง หรือกิจกรรมบันเทิงในสังคม (4) การใช้ดนตรีเป็นเครื่องมือในการสื่อสาร โดยเฉพาะในวัฒนธรรมเดียวกัน (5) การใช้ดนตรีเป็นตัวแทนหรือใช้เป็นระบบสัญลักษณ์รูปแบบหนึ่ง (6) การใช้ดนตรีกระตุ้นการตอบสนองหรือการเคลื่อนไหวของร่างกาย (7) การใช้ดนตรีเพื่อจุดประสงค์ทางศาสนา (8) ใช้ดนตรีเป็นส่วนช่วยการการธำรงรักษาวัฒนธรรม (9) ใช้ดนตรีในการสร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันของคนในสังคม (Marriam, 1995) อ้างใน (Goldberg & Scott-kassner, 2002, p. 1054)

          ซึ่งหากพิจารณาถึงคุณสมบัติของดนตรี และบทบาทหน้าที่ของดนตรีในสังคมแล้ว ครูจะสามารถเลือกใช้ประโยชน์จากดนตรีมาบูรณาการการสอนให้เข้ากับเนื้อหาวิชาของตนเองได้อย่างกว้างขวางและหลากหลาย

สำหรับในบริบทของสังคมไทยนั้นการบูรณาการวิชาดนตรีร่วมกับวิชาอื่นๆ ไม่ได้เป็นเรื่องที่แปลกใหม่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่งในวัฒนธรรมการเรียนดนตรีไทย ที่ครูผู้สอนจะมีการบูรณาการเนื้อหาวิชาดนตรี เข้ากับวิชาการดำรงชีวิตควบคู่กันมาตั้งแต่สมัยโบราณ กล่าวคือ ผู้ที่ต้องการเรียนดนตรีไทยสมัยก่อนตั้งมาฝากตัวเป็นศิษย์โดยอาศัยอยู่ที่บ้านครู ซึ่งครูจะสอนจะเป็นผู้อบรมสั่งสอนทุกอย่างตั้งแต่วิชาดนตรี ไปถึงวิธีการในการดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพ การสอนวัฒนธรรมศึกษา ฯลฯ

อย่างไรก็ตามหากพิจารณาเฉพาะส่วนที่เกี่ยวข้องกับการบูรณาการวิชาดนตรีในโรงเรียนจะพบว่า วิชาดนตรีเริ่มเข้ามาอยู่ในห้องเรียนตั้งแต่สมัยสมเด็จพระนารายณ์ โดยหลักฐานสำคัญที่ทำให้ทราบว่ามีการสอนขับร้องในโรงเรียนดังกล่าวคือ การมีวิชาดนตรีบรรจุอยู่ในตารางเรียนของ Ayutthaya General College  ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้คนไทยเริ่มรู้จักการขับร้องและบรรเลงเพลงในชั้นเรียน (Yamprai, 2011; มานิจ ชุมสาย, 2498; วิชฏาลัมพก์ เหล่าวานิช, 2556)  และในสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้มีการบูรณาการโดยใช้ดนตรี ในโรงเลี้ยงเด็กของพระวิมาดาเธอฯพระองค์เจ้าสายสวลีภิรมย์  ที่กลายเป็นโรงเรียนสตรีเบญจมราชูทิศในปัจจุบัน เพื่อใช้เป็นเครื่องมืออบรมสั่งสอนร่วมกับวิชาอื่นๆ เป็นมูลเหตุให้เกิด บทดอกสร้อยสุภาษิต ขึ้น โดยเนื้อหาของบทเพลงดอกสร้อยนั้นมีเนื้อหาเกี่ยวกับธรรมชาติวิทยา คุณธรรม และเรื่องราวเกี่ยวกับความรักของพ่อแม่ ซึ่งข้อมูลดังกล่าวเป็นหลักฐานหนึ่งที่แสดงให้เห็นได้ว่าดนตรีเริ่มเข้ามามีบทบาทในการเป็นเครื่องมือในการอบรมสั่งสอนเด็กในโรงเรียน (วิชฏาลัมพก์ เหล่าวานิช, 2556)

        จากที่กล่าวมาจะเห็นได้ว่ามีการนำวิชาดนตรีและศิลปะมาบูรณาการเพื่อใช้ในหลักสูตรอย่างหลากหลายทั้งในบริบทของสังคมโลก และสังคมไทย ซึ่งในลำดับต่อไปผู้เขียนพยายามยกตัวอย่างการบูรณาการดนตรีให้เข้ากับสังคม ยุคสมัย และบริบทของสังคมไทยในปัจจุบัน

THE ASEAN WAY กับการบูรณาการ

ในการจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการนั้น การเลือกหัวเรื่อง (Theme) มโนทัศน์ (Concept) หรือ ปัญหา (problem) ในการสอนนั้นเป็นสิ่งที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยหัวเรื่องที่เลือกมานั้นควรเป็นประเด็นที่มีความชัดเจน ซึ่งหัวเรื่องที่ดีจะสามารทำให้ผู้เรียนสามารถคิดได้แบบมีวิจารณญาน (metacognitive) และเกิดพลังความคิด (Powerful of Idea) (Lonning, 1998)

สำหรับเนื้อหาทางดนตรีมาใช้ในการเรียนการสอนนั้นขึ้นอยู่กับวัฒนธรรม และบริบทของแต่ละสังคมนั้นๆ และเนื่องจากในปัจจุบันประเทศไทยกำลังก้าวเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หัวเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับสถานการณ์มีความทันสมัย และทำให้เกิดพลังความคิดในการสร้างความร่วมมือกันในภูมิภาค คงหนีไม่พ้นหัวข้อเรื่องเกี่ยวกับอาเซียน

ในการเลือกบทเพลงอาเซียนมาใช้ในการบูรณาการนั้นค่อนข้างจะมีความหลากหลาย และคงเป็นการยากที่จะหาเพลงใดเพลงหนึ่งที่จะมาเป็นตัวแทนในวัฒนธรรมที่มีความหลากหลายนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อมีความพยายามในการสร้างประชาคมอาเซียน จึงมีแนวคิดในการมีเพลงประจำอาเซียนเกิดขึ้นครั้งแรกจากการหารือในที่ประชุมคณะกรรมการอาเซียนว่าด้วยวัฒนธรรมและสนเทศ ครั้งที่ 29 เมื่อเดือนมิถุนายน พ.ศ. 2537 โดยที่ประชุมมีความเห็นว่าอาเซียนควรจะมีเพลงประจำอาเซียน เพื่อใช้เปิดในช่วงของการจัดกิจกรรมต่างๆ ทางด้านวัฒนธรรมและสนเทศ  และต่อมาให้มีการเพื่อให้เขียนไว้ในกฎบัตรอาเซียนบทที่ 40 ซึ่งระบุให้อาเซียนมีเพลงประจำอาเซียน สมาคมประชาชาติแห่งเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จึงได้มอบหมายให้ประเทศไทยเป็นผู้ดำเนินการจัดการประกวดเพลงประจำอาเซียน โดยที่ประชุมประเทศสมาชิกอาเซียนได้เห็นชอบให้กำหนดรูปแบบการแข่งขันในลักษณะที่เป็นการแข่งขันแบบเปิดกว้าง (open competition) โดยมีกรรมการจากประเทศสมาชิกอาเซียนประเทศละ 1 คน ซึ่งคณะกรรมการการประกวดได้คัดเลือกเพลงจำนวน 10 เพลงให้เข้ารอบสุดท้าย จากผลงานที่ส่งเข้าประกวดทั้งหมด 99 เพลง และได้ดำเนินการประกวดรอบตัดสิน เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2551 โดยคณะผู้ตัดสินประกอบด้วยกรรมการจากอาเซียน 10 คนในรอบแรก และจากประเทศนอกอาเซียนอีก 3 คน ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น ประเทศจีน และประเทศออสเตรเลีย โดยที่ประชุมมีมติเป็นเอกฉันท์เลือกเพลง "The ASEAN Way" (ดิอาเซียนเวย์) ของประเทศไทย ซึ่งประพันธ์โดยกิตติคุณ สดประเสริฐ (ทำนองและเรียบเรียง) สำเภา ไตรอุดม (ทำนอง) และพะยอม วลัยพัชรา (เนื้อร้อง) ให้เป็นเพลงประจำอาเซียน

เพลง The ASEAN Way ได้ใช้บรรเลงอย่างเป็นทางการในพิธีเปิดการประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 14 ในวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2552 ที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี บรรเลงโดยวงดุริยางค์ทหารเรือของกองทัพเรือไทยเป็นผู้บรรเลงเพลง และขับร้องโดยคณะนักร้องประสานเสียงสวนพลู ซึ่งผู้เขียนเองเป็นผู้หนึ่งที่โชคดีได้มีโอกาสร่วมบันทึกเสียงและร้องเพลงประจำชาติอาเซียนในฐานะสมาชิกของคณะนักร้องประสานเสียงสวนพลูในงานดังกล่าวด้วยเช่นกัน ดังนั้นในฐานะที่เราเป็นชาติผู้นำในอาเซียนอีกทั้งเพลงประจำชาติอาเซียนยังเป็นผลงานที่หน้าภาคภูมิใจชองคนไทย ดังนั้นผู้เขียนจึงเห็นว่าเพลงดังกล่าวสามารถนำมาเป็นหัวเรื่อง (Them) ในการบูรณาการเรียนการสอนได้เป็นอย่างดี



       
หากพิจารณาจากเนื้อร้องและความหมายของเพลง The ASEAN way แล้ว เราสามารถนำไปบูรณาการระหว่างกลุ่มสาระการเรียนรู้ (Interdisciplinary integrated หรือ across curriculum) โดยเป็นการผสมผสานเนื้อหาสาระระหว่างวิชา แต่ด้วยพื้นที่อันจำกัด ผู้เขียนคงไม่สามารถนำเสนอแผนการสอนการบูรณาการของทุกรายวิชาได้ครบถ้วน ดังนั้นผู้เขียนจึงขอนำเสนอแนวคิดแบบคร่าวๆ ในการใช้เพลง The ASEAN WAY เป็น หัวข้อ (Them) ในการบูรณาการนั้น สามารถเชื่อมโยงกันได้อย่างไรบ้าง ซึ่งสามารถแสดงออกมาเป็นแผนผังได้ดังนี้






จากแผนภูมิดังกล่าวเป็นเพลงแนวคิดแบบกว้างๆ ที่ผู้อ่านสามารถนำไปประยุกต์ใช้เป็นแนวทางในการสร้างสรรค์กิจกรรมให้เข้ากับบริบท และสภาพจริงในการเรียนการสอนของแต่ละพื้นที่ ซึ่งจะเป็นได้ว่าสามารถบูรณาการได้ในหลายกลุ่มสาระ บางกลุ่มสาระก็มีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงได้มาก บางกลุ่มสาระก็เชื่อมโยงได้น้อย (อาจเนื่องจากข้อจำกัดทางความถนัด และความรู้ของผู้เขียน) แต่สิ่งสำคัญที่สุดในการสอนแบบบูรณาการคือ การร่วมมือกันจากแต่ละกลุ่มสาระ หรือทำงานเป็นทีม ดังที่ Drake (1993) อ้างใน (Goldberg & Scott-kassner, 2002, p. 1056) สรุปสิ่งที่จำทำให้การบูรณาการประสบความสำเร็จด้วยกัน 3 ประการคือ (1) ระยะเวลา และการวางแผนร่วมกันที่ดี (2) สภาพความเป็นผู้นำและความแข็งแรงของทีมงาน (3) การสนับสนุนด้านงบประมาณที่เพียงพอ อาทิเช่น มีการเดินทางออกภาคสนาม การอบรม การสนับสนุนด้านวัสดุอุปกรณ์ที่เพียงพอ เป็นต้น ซึ่งหากสามารถดำเนินการได้กังกล่าว จะสามารถสร้างการเรียนรู้ที่มีความหมาย ทำให้ผู้เรียนเห็นภาพใหญ่ และสามารถเชื่อมโยงความรู้และประเด็นต่างๆ ที่มีความหลากหลายในแต่ละวิชาได้ดียิ่งขึ้น
นอกจาการบูรณาการข้ามกลุ่มสาระแล้ว ในวิชาดนตรีเอง เราก็สามามารถนำทีม The ASEAN WAY มาเป็นหลักในการสอนดนตรี เขาจะได้หัวข้อดังนี้


ที่มา แผนการจัดการเรียนรู้ THE ASEAN WAY (กัปตัน กาญจนภูษากิจ, 2557)

          จะเห็นได้ว่าในหนึ่งบทเพลง เราสามารถแตกประเด็นที่มี่ความเชื่อมโยงกันออกมาได้อย่านับไม่ถ้วน ซึ่งสิ่งเหล่านี้อาจเป็นภาพ หรือมโนทัศน์ที่อยู่ในสมองของครู แต่นักเรียนอาจไม่สามารถเชื่อมโยงความรู้ในหน่วยย่อยๆ ได้  เนื่องจากครูและนักเรียนมีวิธีในการจัดระเบียบความรู้ (Knowledge Organization) ที่แตกต่างกัน
หากความรู้ของนักเรียนไม่เชื่อมโยงกันเป็นเครือข่ายหนาแน่น ผู้เรียนจะดึงความรู้มาใช้งานได้ช้าลง ดังนั้นหากครูนำการบูรณการมาสอนแล้วจะเป็นสิ่งหนึ่งที่ช่วยให้ผู้เรียนเข้าใจมากขึ้น
          อย่างไรก็ตามการเรียนการสอนแบบบูรณาการในการรับรู้ของสังคมที่ผ่านมา วิชาดนตรีและศิลปะมีความสำคัญในการเรียนการสอนแบบบูรณาการในฐานะเป็นเครื่องมือที่ช่วยให้วิชาอื่นมีการเรียนรู้ที่ดีขึ้น เนื่องจากดนตรีศิลปะสามารถทำให้ผู้เรียน เกิดความรู้สึก หรืออารมณ์ร่วมกับบทเรียน ทำให้มีความสนุกสนาน เกิดแรงจูงใจในการเรียน ซึ่งมุมมองดังกล่าวก็อาจทำให้เกิดผลเสียต่อการรับรู้ในคุณค่าของวิชาดนตรีและศิลปะได้เช่นกัน คล้ายๆ กับว่าวิชาดนตรีศิลปะนำไปใช้ช่วยในการเรียนรู้วิชาอื่น แต่นักเรียนไม่ได้เรียนเนื้อหา หรือ ไม่ได้รับรู้คุณค่าของวิชาดนตรี เพื่อความซาบซึ้งความความสุนทรียะอย่างที่ควรจะเป็น และทำให้วิชาดนตรีกลายเป็นวิชาเล่นๆ วิชาเพื่อความบันเทิง ไม่มีคุณค่า สาระ หรือแก่นสารในตัวเอง ดังนั้นครูดนตรีจึงควรคำนึงถึงประเด็นเหล่านี้ในการจัดการเรียนการสอนให้นักเรียนได้เกิดความรู้ความเข้าใจ และเกิดความซาบซึ้งและรักในดนตรี โดยเชื่อมโยงเข้ากับบริบททางสังคม และศาสตร์อื่นๆ และในทางกลับกัน ครูในศาสตร์อื่นๆ ก็สามารถนำดนตรีหรือศิลปะบูรณาการร่วมกับศาสตร์ของตน เพื่อช่วยให้นักเรียนเห็นภาพรวม และเข้าใจสภาพสังคมและวัฒนธรรมสมัยนั้นได้ดียิ่งขึ้น เนื่องจากการนำองค์ประกอบของศิลปะมาสู่เนื้อหาวิชาหลักหรือวิชาแกนนั้น เป็นการกระตุ้นให้นักเรียนให้พัฒนาวิธีในการทำงาน มองเนื้อหาวิชาเป็นความท้าทาย และเกิดการเรียนรู้ที่มีความรู้สึก และมีความหมายยิ่งขึ้น  
         
บรรณานุกรม
กัปตัน กาญจนภูษากิจ. (2557). แผนการจัดการเรียนรู้เพลง THE ASEAN WAY. แผนการจัดการเรียนรู้. คณะครุศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย. กรุงเทพฯ.
พิมพันธ์ เดชะคุปต์ และ พเยาว์ ยินดีสุข. (2557). การสอนเขียนแผนบูรณาการบนฐานเด็กเป็นสำคัญ (พิมพ์ครั้งที่ 4). กรุงเทพฯ: โรงพิมพ์แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย.
มานิจ ชุมสาย. (2498). ประวัติการศึกษาภาคบังคับในประเทศไทย. กรุงเทพฯ: กองการสัมพันธ์ต่างประเทศ กระทรวงศึกษาธิการ.
วิชฏาลัมพก์ เหล่าวานิช. (2556). กระบวนการกลายเป็นชายขอบของวิชาดนตรีในหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน: วิธีศึกษาแนวโบราณคดีความรู้.  วิทยานิพนธ์ดุษฎีบัณฑิต สาขาดนตรีศึกษา, วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล, นครปฐม.  
อรรถพล อนันตวรสกุล. (2557). การจัดการเรียนการสอนแบบบูรณาการสู่ศตวรรษที่ 21. เอกสารประกอบการสัมมนาเรื่อง การเรียนการสอนแบบูรณาการ สู่ศตวรรษที่ 21, โรงเรียนสาธิตจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ฝ่ายมัธยม.




ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

การรับรู้สุนทรียะในดนตรี

กำเนิดเสียงดนตรี